นวัตกรรม : ความหวังใหม่เพื่อฟื้นฟูไทยกลับมา (ตอนที่ 2)

นวัตกรรม : ความหวังใหม่เพื่อฟื้นฟูไทยกลับมา (ตอนที่ 2)

14 กันยายน 2563บทความ5,761

HIGHLIGHTS :


HIGHLIGHTS :




  • นวัตกรรม ความหวังใหม่เพื่อฟื้นฟูไทยกลับมา (ตอนที่ 2) : ทำความเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการสร้างให้เกิดนวัตกรรม (Process of innovation) ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดนวัตกรรม ความแตกต่างระหว่าง Invention และ Innovation การแพร่ของนวัตกรรม ตลอดจนนวัตกรรมกับการประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถรักษาและยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต



 เวลาในการอ่าน 6 นาที









จากสถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง “นวัตกรรม” จึงถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ว่าเป็นทางรอดทางเศรษฐกิจและเป็นความหวังที่จะฟื้นฟูประเทศไทย บทความชุด “นวัตกรรม : ความหวังใหม่เพื่อฟื้นฟูไทยกลับมา” นี้ได้รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ “นวัตกรรม” มาเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการพลิกโฉมประเทศไทย ให้หลุดพ้นจากสภาพปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน



ตอนที่ 1 : ได้พูดถึงเรื่องนวัตกรรมในแง่ของ ความหมาย ประเภท และประวัติศาสตร์ ถือเป็นการเรียนรู้อดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบัน และสร้างสรรค์อนาคต



ตอนที่ 2 : ทำความเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการสร้างให้เกิดนวัตกรรม (Process of innovation) ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดนวัตกรรม ความแตกต่างระหว่าง Invention และ Innovation การแพร่ของนวัตกรรม ตลอดจนนวัตกรรมกับการประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถรักษาและยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต



ตอนที่ 3 : การสร้างนวัตกรรมในยุค Digital จำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้เทคโนโลยี เนื่องจากเป็นยุคที่คนส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีผ่านเครื่องมือต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน การค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการ ตลอดจนการโอนชำระเงิน ในบทความนี้จะกล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ตอบโจทย์กับธุรกิจในอนาคต



ตอนที่ 4 : การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ทางธุรกิจเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเป็นเนื้อหาต่อจากตอนที่ 3 ที่กล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ตอบโจทย์กับธุรกิจในอนาคต



ตอนที่ 5 : การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable development) ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากความล้มเหลวของการพัฒนาแบบดั้งเดิมที่ผ่านมาทั้งทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศที่ยิ่งพัฒนายิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำ ในบทความตอนนี้จะกล่าวถึงนวัตกรรมที่เรียกว่า “Eco-Innovation” ที่หลายธุรกิจนำมาใช้เพื่อช่วยแก้ไขและพัฒนาระบบนิเวศให้ดีขึ้น



ตอนที่ 6 : การพัฒนา Eco-Innovation ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขและพัฒนาระบบนิเวศให้ดีขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจอีกด้วย โดยเป็นเนื้อหาต่อจากตอนที่ 5 ที่กล่าวถึง การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยใช้นวัตกรรมที่เรียกว่า “Eco-Innovation” พร้อมทั้งกรณีศึกษาบริษัทที่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนา Eco-Innovation



ตอนที่ 7 : การพัฒนา Eco-Innovation เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจในปัจจุบันตระหนักและทราบดีว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น แต่การทำให้เกิดขึ้นได้นั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องใช้เงินทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งอาจทำแล้วได้ผลดีหรือล้มเหลวก็ได้ โดยเป็นเนื้อหาต่อจากตอนที่ 5 และ 6 ซึ่งได้กล่าวถึงแนวทางและข้อคิดในการดึงดูดแหล่งทรัพยากรเงินทุนพร้อมทั้งกรณีศึกษาเพื่อสนับสนุนการพัฒนา Eco-Innovation



ตอนที่ 8 : นวัตกรรมทางสังคม หรือ Social Innovation



ในตอนที่ 2 นี้จะอธิบายถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการสร้างให้เกิดนวัตกรรม (Process of innovation) ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทั้งระดับองค์กรและระดับประเทศ เพื่อรักษาและยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมทั้งสร้างให้เกิดความเติบโตและเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว



โดยปกติการทำให้เกิดนวัตกรรมนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) การคิดริเริ่มใหม่ๆ (Idea generation) 2) การแก้ปัญหา (Problem solving) และ 3) การนำไปปฏิบัติให้แพร่หลาย (Implementation) และหากเกิดขึ้นเฉพาะข้อ 1 และข้อ 2 เราจะเรียกว่าสิ่งประดิษฐ์ (Invention) แต่เมื่อเกิดข้อ 3 ขึ้นด้วยเราจึงจะเรียกว่า นวัตกรรม (Innovation) องค์กรต่างๆ สามารถสร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้โดยเฉพาะในยุคที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบนี้ ใครที่คิดค้นนวัตกรรมที่เหมาะสมกับยุค Digital economy ย่อมจะได้ประโยชน์ในการสร้างความเข้มแข็งแก่ธุรกิจได้มากกว่า



1) แหล่งที่มาของนวัตกรรม



ข้อมูลจาก Wikipedia สรุปว่านวัตกรรมอาจมาจาก การริเริ่มคิดค้นของหน่วยงานต่างๆ ในองค์กร หรือมาจากความบังเอิญ หรือมาจากการล้มเหลวของระบบการทำงานเดิมก็ได้ แบบจำลองที่เรียกว่า Linear model of innovation อธิบายการเกิดขึ้นของนวัตกรรมเรียงลำดับได้จาก ขั้นการประดิษฐ์ (Invention) ขั้นนวัตกรรม (Innovation) และขั้นการแพร่นวัตกรรม (Diffusion) จุดตั้งต้นของการสร้างนวัตกรรมในหลายๆ องค์กรอาจเริ่มจากการสนับสนุนให้มีหน่วยงานและงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D)



นักวิจัยชื่อ Joseph F. Engelberger ได้สรุปไว้ว่า การเกิดขึ้นของนวัตกรรมได้ ต้องมีปัจจัยแวดล้อม 3 อย่าง ได้แก่



- ความต้องการที่ได้รับการยอมรับ (A recognized need)



- ผู้สร้างและเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Competent people with relevant technology)



- เงินทุนที่ได้รับการสนับสนุน (Financial support)



2) Invention vs Innovation



ข้อมูลจาก techsauce.co อธิบายความแตกต่างระหว่าง Invention และ Innovation ไว้ง่ายๆ ดังนี้



Invention คือ ประดิษฐกรรม ซึ่งอาจเป็นผลิตภัณฑ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา โดยมีการใช้เทคโนโลยีเป็นเบื้องหลังในการพัฒนาอีกต่อหนึ่ง



ส่วน Innovation = Invention * Commercialization



โดย Commercialization หมายถึงการนำเข้าสู่ตลาด หรือการทำให้ Invention นั้นๆ เป็นที่ต้องการจริงในตลาด



3) การแพร่นวัตกรรม (Diffusion)



นวัตกรรมจะประสบความสำเร็จได้ก็จะต้องได้รับการยอมรับและนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งจะต้องมีกระบวนการแพร่นวัตกรรม ดังนี้



- การให้ความรู้ (Knowledge)



- การเกิดขึ้นของทัศนคติ (Forming an altitude)



- การตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ (A decision to adopt or reject)



- การนำไปใช้ (Implementation and use)



- การยืนยันว่าตัดสินใจถูกต้อง (Confirmation of the decision)



เมื่อเกิดนวัตกรรมขึ้น และผ่านกระบวนการแพร่นวัตกรรมข้างต้นนี้ นวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จจะมีแนวโน้มการเติบโตตามกาลเวลาในลักษณะ S-curve โดยจะมีทั้งการเติบโตของยอดขาย (Revenue) หรือผลิตภาพ (Productivity) ที่สูงขึ้นตามเวลา เมื่อผ่านช่วงต้นแล้ว และลูกค้ากลุ่มต่างๆ ยอมรับมากขึ้น การเติบโตของยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกว่าจะถึงปลาย วัฏจักรความต้องการที่เติบโตลดลงก็จะทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรลดต่ำลงเมื่อเทียบกับในอดีต และทางองค์กรก็จะไปคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอีก ทำให้ S-curve เส้นใหม่ก็จะเกิดขึ้นตามมาต่อไป



4) นวัตกรรมกับธุรกิจ



เนื่องจากนวัตกรรมจะมีส่วนช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ ในทางธุรกิจจึงอยากเห็นนวัตกรรมที่สามารถไปช่วยขยายตลาดได้ไม่ว่าจะเป็นตลาดเดิมหรือตลาดใหม่ ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จก็จะสามารถทำให้ยอดขายและกำไรเติบโตได้ในอนาคต Megan Doyle ผู้เขียน Four Types of Innovation in Business ได้สรุปไว้ว่าบริษัทหรือธุรกิจสามารถพัฒนานวัตกรรมชนิดใดชนิดหนึ่งใน 4 กรณี เพื่อช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจได้ดังนี้



Incremental innovation



คือ นวัตกรรมที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิม (Existing products) ให้มีประโยชน์ และมูลค่าที่ดีขึ้นแก่ลูกค้าในตลาดเดิม (Existing market) โดยอาจเป็นการแก้ไขข้อบกพร่อง (Defects) หรือการปรับปรุงการใช้งาน (Performance) ทั้งนี้ในวิธีการอาจเป็นการเพิ่มหรือขยายสายผลิตภัณฑ์ (Product line expansions) การลดต้นทุน (Cost reductions) หรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (Next-generation products) เป็นต้น



Architectural innovation



คือ นวัตกรรมที่มุ่งดัดแปลง (Modification) ผลิตภัณฑ์เดิม (Existing solutions) ไปตอบโจทย์ลูกค้าในตลาดใหม่ (New market) เนื่องจากธุรกิจมีประสบการณ์จากผลิตภัณฑ์เดิมอยู่แล้วก็อาจมาดูว่าจะมีวิธีปรับเปลี่ยนรูปแบบ (Design) ของผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในตลาดใหม่ ซึ่งอาจมีทั้งความต้องการที่เหมือนและต่างจากกลุ่มลูกค้าเดิมในตลาดเดิมได้



Disruptive innovation



คือ นวัตกรรมที่มาจากเทคโนโลยีใหม่หรือผลิตภัณฑ์ (New technologies and products) ที่ถูกคิดค้นออกมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในตลาดเดิม (Existing market) โดยเทคโนโลยีใหม่นี้อาจทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์จากประสิทธิภาพการใช้งานหรือการเข้าถึงที่ดีขึ้น และเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นสินค้าหรือบริการที่ยังไม่เคยดึง Unmet need มาตอบโจทย์มาก่อนเลย ผู้ที่ทำได้สำเร็จจะทำให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในลักษณะพลิกโฉมและครองส่วนแบ่งการตลาดได้มาก (เป็น Market leader)



Radical innovation



คือ นวัตกรรมที่มุ่งพัฒนาออกมาเป็นเทคโนโลยีใหม่หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในตลาดใหม่ (New market) นวัตกรรมในกลุ่มนี้อาจเป็นผลิตภัณฑ์ (Product) กระบวนการ (Process) หรือ บริการ (Service) ก็ได้ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ก้าวหน้ากว่าเดิมจนทำให้ลูกค้าหันมาใช้ และสามารถทดแทนสินค้าและบริการที่มีอยู่เดิมได้อย่างสมบูรณ์



โดยธรรมชาติการพัฒนานวัตกรรมเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนใช้ทั้งทรัพยากรและเวลา Incremental innovation ถือว่าอาจใช้เวลาในการสร้างให้เกิดได้เร็วที่สุดและไม่ต้องใช้ความสามารถ (Competency) สูงมากนัก เพราะเป็นการพัฒนานวัตกรรมบนสินค้าใหม่ ส่วน Disruption innovation และ Architectural innovation ต้องใช้เวลาและความสามารถที่มากขึ้นจึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงผลิตภัณฑ์ได้ สำหรับ Radical innovation ถือว่าต้องใช้เวลานานที่สุด และต้องใช้ความสามารถค่อนข้างสูงทางด้านเทคโนโลยีจึงจะสร้างสิ่งใหม่ในตลาดใหม่ได้ คำถามในตอนนี้ก็คือ ธุรกิจของท่านกำลังลงทุนทำนวัตกรรมชนิดไหนอยู่ ?





ที่มา : techsauce.co



เขียนโดย : ดร.กฤษฎา เสกตระกูล, CFP®   



รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน



ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ข้อมูลอ้างอิง

:

เขียนโดย

:

แบ่งปัน :

เเสดงความคิดเห็น

คุณอาจจะสนใจ