เวลาในการอ่าน 4 นาที
การทำงานที่บ้านเป็นมาตรการป้องกันการติดโควิดที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงยิ่งขึ้นจากภัยโจรไซเบอร์ เนื่องจากภายในสำนักงานมักจะมีระบบควบคุมและรักษาความปลอดภัยที่มีมาตรการที่สูงกว่าเข้มงวดกว่าการทำงานจากที่บ้าน
บทความนี้ จึงขอนำเสนอการดูแลพื้นที่ทำงานที่บ้าน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า มีการควบคุมที่ดีเพียงพอและเหมาะสม ซึ่งเป็นการถอดความจากการบรรยายของคุณ Rebecca Herold, CDPSE, FIP, CISSP, CIPP/US, CIPT, CIPM, CISM, CISA, FLMI, Ponemon Institute Fellow CEO The Privacy Professor®, CEO Privacy & Security Brainiacs ในหัวข้อ Security & Privacy Compliance in Work from Home Situations เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2563 จัดโดย ISACA https://www.isaca.org/why-isaca/about-us ติดตามคุณรีเบคก้าได้ที่ Twitter ID: http://twitter.com/PrivacyProf
การรักษาความปลอดภัยของการทำงานที่บ้าน และอุปกรณ์ที่ใช้ แบ่งเป็น 12 เรื่อง ดังนี้
การทำงานที่บ้านไม่สามารถใช้การควบคุมโดยตรงกับพนักงานในพื้นที่ทำงานนอกสำนักงาน นอกจากนั้นในบ้านหรือห้องพัก ก็จะมีคนในครอบครัว รูมเมท เพื่อน เข้ามาใช้พื้นที่หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกันในการทำงาน หรือ เรียนออนไลน์ แถมยังมีอุปกรณ์สมาร์ท IoT เชื่อมต่อเครือช่าย Wi-Fi ร่วมกัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้สูงขึ้น อาจจะมีการเข้าถึงข้อมูลขององค์กร เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลพนักงาน โดยผู้ไม่ได้รับอนุญาต และอาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูล รวมถึงความเสี่ยงที่ทำให้ระบบขัดข้องไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง
องค์กรจึงต้องทบทวนหรือกำหนดนโยบายการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ให้พนักงานถือปฏิบัติ ซึ่งรวมไปถึงพนักงานของบริษัทคู่ค้าที่ทำงานที่บ้านด้วย โดยเพิ่มเติมข้อมูลความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่จากสภาพแวดล้อมของการทำงานที่บ้านและนอกสำนักงาน นอกจากนั้นยังต้องมีการทบทวนแผนการกู้คืนจากภัยพิบัติและความต่อเนื่องทางธุรกิจ(แผน BCP) ให้ครอบคลุมการทำงานจากที่บ้านด้วย
การให้ความรู้และฝึกอบรมถึงความเสี่ยงของการทำงานที่บ้าน นโยบายและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง การส่งนโยบายให้พนักงานอ่านเอง โดยหวังว่าพนักงานจะเข้าใจ ปฏิบัติตามได้ มันอาจจะยากในโลกความจริง องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญในการฝึกอบรมให้พนักงานเข้าใจและตระหนักถึงความจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว โดยอาจจะใช้การฝึกอบรมออนไลน์ การทำคลิปวิดีโอที่เข้าใจง่าย โดยทำเป็นประจำสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
ในกรณีที่พบเหตุการณ์ที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบาย ควรที่จะทำคลิปวิดีโอสั้นๆ หรือ การประชุมออนไลน์ หรือ ส่งข้อความ เพื่อแจ้งเตือนให้พนักงานทราบ เข้าใจและปฏิบัติตามนโยบายการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวได้
นโยบายการทำงานที่บ้านนั้นรวมถึง การกำกับดูแลคู่ค้า ผู้ให้บริการบุคคลที่สาม และ supply chain เพราะบริษัทเหล่านี้ก็อาจให้พนักงานทำงานจากที่บ้านเช่นกัน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อบริษัทเช่นเดียวกับการทำงานจากที่บ้านของพนักงาน
จำกัดการเข้าถึงข้อมูลให้เป็น "ขั้นต่ำที่จำเป็น" ดูแลให้การเข้าใช้งาน ใน Share file ให้เหมาะสม สิ่งที่น่ากังวลอย่างมากก็คือ มีการใช้พื้นที่และอุปกรณ์ร่วมกัน ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลได้
การกู้คืนจากภัยพิบัติและความต่อเนื่องทางธุรกิจ อาจจะไม่มีการสำรองข้อมูลหรือไม่ได้ทำตามนโยบาย ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงทำให้ระบบขัดข้องและธุรกิจขาดความต่อเนื่อง
ฝ่ายตรวจสอบภายใน ควรมีการตรวจสอบการปฎิบัติตามนโยบายการทำงานที่บ้าน
ทำวิดีโอสั้น ๆ เพื่อแจ้งเตือน เกี่ยวกับนโยบายและขั้นตอนของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของการทำงานที่บ้าน
3. การเข้าถึงจากนอกสำนักงานและ Wi-Fi
นโยบายความปลอดภัยในการทำงานที่บ้าน ต้องระบุเกี่ยวกับ Wi-Fi ที่บ้าน ต้องมีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ ได้แก่
- ติดตั้ง Firewalls ให้ถูกต้อง
- การตั้งค่ามีความปลอดภัยและปฎิบัติตามนโยบายความปลอดภัย โดยเคร่งครัด
- มีการเข้ารหัส (encryption) หรือ ตั้งรหัสผ่านที่เดาได้ยาก (Strong Password)
- มีการควบคุมการเข้าถึง
แฮ๊คเกอร์สามารถเจาะเข้าผ่าน Wi-fi ที่ตั้งค่าไม่ปลอดภัย เพื่อหาข้อมูล เช่น Operating System ที่ใช้ ประเภทของการเข้ารหัสที่ใช้ หรือ สามารถทราบด้วยว่า ข้อมูลไหนที่ส่งโดยไม่ใช้การเข้ารหัส ซึ่งแฮ๊คเกอร์สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์และสร้างความเสียหายให้องค์กรได้
- Wi-Fi สาธารณะ
อย่าใช้ เว้นแต่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
เมื่อจำเป็นให้ใช้การเข้ารหัสที่เข้าถึงได้ยาก(Strong Password)
หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟสาธารณะ ซึ่งอันตราย โจรไซเบอร์สามารถแฮ๊คข้อมูลผ่านสายที่เสียบชาร์จได้ ในกรณีจำเป็นต้องชาร์จไฟสาธารณะ ซึ่งบางครั้งจำเป็นจริงๆเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้ลงทุนซื้อ USB Data Blocker ซี่งราคาไม่แพง ช่วยป้องกันโจรแฮ๊คเกอร์ ไวรัสมัลแวร์ และการขโมยข้อมูลได้
การตั้งค่าต่างๆที่ใช้ความรู้ทางเทคนิค
ควรมอบหมายให้ IT Support ทำหน้าที่ช่วยเหลือพนักงานให้เข้าใจและปฎิบัติได้ถูกต้อง และฝ่ายตรวจสอบภายในควรทำ Wi-fi Audit เพื่อให้มั่นใจว่า มีการปฏิบัติตามนโยบายการรักษาความปลอดภัย มาตรการบริหารความเสี่ยงที่ควรทำคือ พนักงานที่มีหน้าที่ดูแลข้อมูลที่มีความเสี่ยงสูง ต้องติดตั้ง Wi-Fi Business สำหรับใช้ทำงาน และแยกต่างหากจาก Wi-Fi บ้าน และแยกอุปกรณ์ IoT ที่ชาญฉลาด ไปใช้ Wi-Fi บ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้แฮ๊คเกอร์เข้าถึงระบบของธุรกิจผ่านอุปกรณ์ IoT
โปรดให้ความสำคัญ และแจ้งเตือนพนักงานที่ทำงานที่บ้านที่อาจจะไปทำงานในห้องสมุด ร้านกาแฟ หรือ บางบริษัทอาจจะเช่าสำนักงานชั่วคราว หรือ Working space หรือ โรงแรม และให้พนักงานกระจายเข้าทำงานเพื่อลดความหนาแน่นในสำนักงาน โดยพนักงานต้องระวังไม่ใช้ Free Wi-Fi หรือ Wi-Fi ที่ใช้ ไอดี พาสเวิร์ด ร่วมกัน
สำหรับโฮมออฟฟิศให้ตั้งค่าเครือข่าย wi-fi บ้านแยกต่างหาก จาก wi-fi ที่ใช้สำหรับธุรกิจ
สภาพแวดล้อมในการทำงานที่บ้าน อาจจะทำให้พนักงานละเลย หลงลืม ไม่ได้ปฏิบัติตามการควบคุมที่เหมาะสมปลอดภัย คิดว่าง่าย เร็วดี เพราะเชื่อว่าบ้านปลอดภัย ซึ่งเป็นความเสี่ยงขององค์กรเพราะไม่สามารถควบคุมโดยตรงได้เหมือนกับในพื้นที่สำนักงาน สิ่งที่อาจเกิดขึ้น เช่น
นโยบายการรักษาความปลอดภัยของการทำงานที่บ้าน ต้องกำหนดเรื่องการตรวจสอบยืนยันตัวตนข้างต้นเป็นมาตรฐานเดียวกับการทำงานในพื้นที่สำนักงาน มีการฝึกอบรมให้พนักงานเข้าใจและถือปฏิบัติตามได้ถูกต้อง
กำหนดนโยบาย: ห้ามใช้รหัสผ่านของธุรกิจบนอุปกรณ์ภายในบ้าน ห้ามให้ครอบครัวหรือเพื่อนใช้รหัสผ่านของธุรกิจ ห้าม save รหัสบนเบราว์เซอร์ ห้ามเขียนรหัสผ่านกันลืมติดไว้ตามที่ต่างๆ
5. ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการการรักษาความปลอดภัย
นโยบายการรักษาความปลอดภัยของการทำงานที่บ้าน ต้องกำหนดให้ครอบคลุมถึงเรื่อง
- อัปเดตไฟร์วอลล์ Operating System ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
- ลงโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ที่ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก
- มาตรการป้องกันความเสี่ยงที่อุปกรณ์ IoT ที่หลากหลายเข้ากันไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักเนื่องจากความเข้ากันไม่ได้และการหยุดชะงักของ IoT
เคล็ดลับ!
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งต่อไปนี้ได้รับการอัปเดตให้เป็น version ล่าสุด:
- เว็บเบราว์เซอร์
- Email clients*
- บัญชีการสนทนาออนไลน์ (Instant messaging clients)
- Office productivity software
- ซอฟต์แวร์การใช้ไฟล์ร่วมกัน
- โปรแกรมป้องกันไวรัส
- แอพพลิเคชั่นของธุรกิจ
- ไฟร์วอลล์ส่วนบุคคล
- แพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์
*Email Client เป็นโปรแแกรมสำหรับจัดการข้อความเพื่อเปิดเช็คดูข้อมูลต่างๆ จากการ รับ/ส่งอีเมล์ จากผู้ให้บริการต่างๆ แทนตัวของ Web Browser โดยมีการทำงานคือ จะทำการโหลดอีเมล์ทุกฉบับที่มีการ รับ/ส่ง มาไว้ที่ตัวของโปรแกรม อีเมล์จะถูกจัดเก็บไว้ที่ตัวของโปรแกรม สามารถเปิดอ่านได้เมื่อเข้าใช้โปรแกรม โดยโปรแกรมจะมีฟังชั่นการจัดการ Email ในรูปแบบต่างๆ ต่างกันออกไปตามความเหมาะสม
5 เรื่องที่กล่าวไปแล้วนี้ ล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของการทำงานจากที่บ้าน และบางเรื่องเป็นสิ่งที่เราอาจคิดไม่ถึง หรือบางอย่างเราอาจละเลยไม่ได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงอีก 7 เรื่อง มีเรื่องอะไรบางนั้น ติดตามกันต่อได้เลยค่ะ
ถอดความโดย : วิภา ลี้ตระกูลนำชัย CIA CISA